การปลูกฟักทอง
วิธีการปลูกฟักทอง
ฟักทองเป็นพืชตระกูลเดียวกับแตง เป็นผักที่ปลูกได้ง่าย ขึ้นได้ในดินทุกชนิด แทบทุกส่วนของฟักทองสามารถนำมาใช้บริโภคเป็นอาหารได้ นอกจากนั้นยังนำมาทำของหวานได้ด้วย ฟักทองมีลำต้นเลื้อย จึงต้องการพื้นที่ในการเพาะปลูกมาก มีดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ในต้นเดียวกัน ใช้แมลงเป็นตัวช่วยผสมละอองเกสร และสามารถช่วยการผสมให้ติดผลได้มากขึ้น ฟักทองเป็นพืชที่รู้กันในหมู่คนที่อพยพเข้าไปอยู่ในอเมริกาสมัยแรกๆ คนเหล่านั้นใช้ฟักทองเป็นอาหาร ชาวอินเดียแดงบางเผ่าใช้เปลือกฟักทองมาตากแห้ง แล้วนำมาทำเป็นเครื่องประดับ ส่วนชาวจีนนับถือว่าฟักทองเป็นพืชที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์มั่งคั่ง ซึ่งฟักทองนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด (ตามลักษณะลำต้น) ดังนี้
พวกที่ลำต้นเป็นเถาเลื้อย (Vine type) ลำต้นเมื่อโตแล้วจะเลื้อยและแตกแขนงมาก เป็นฟักทองพันธุ์พื้นเมืองทั่วๆ ไป และมีพันธุ์ลูกผสมต่างๆ พวกนี้จะออกดอกตามข้อ มีแขนงมากให้ผลแขนงละ 1-2 ผล
พวกที่ลำต้นเตี้ย (Bush type) พุ่มใหญ่ ใบมีขนาดใหญ่มาก และบางชนิดอาจมีหนาม ก้านใบกลมกลวง หักง่าย ออกดอกตามมุมก้านใบ ออกดอกเมื่อฟักทองอายุได้ 35 วัน มีผลมาก เพราะมีดอกตัวเมียมาก ขนาดของผลแต่ละผลมีขนาดที่แตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิด
การขยายพันธุ์
สามารถทำได้ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
การปลูกฟักทอง
ฟักทองเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อน ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส ชอบดินร่วนปนทรายที่มีความชื้นอย่างเหมาะสม ต้องการแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน สามารถปลูกได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤษภาคม แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่ในเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
ก่อนปลูกต้องมีการเตรียมดินด้วยการขุดไถย่อยดินให้ลึกประมาณ 25-30 ซม. โดยใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักผสมลงไปด้วย ในอัตราไร่ละ 2-4 ตัน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินและทำให้ดินร่วนซุยสามารถระบายน้ำได้ดีอีกด้วย และให้ใส่รองก้นหลุมก่อนปลูกด้วย ควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพของดินให้เหมาะสมด้วย หากพื้นที่บริเวณนั้นมีการเพาะปลูกมาหลายครั้งแล้ว
ขุดหลุมปลูกตื้นๆ ประมาณ 2.5-5 ซม. หยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปหลุมละ 3-5 เมล็ด ใช้ปุ๋ยคอกกลบ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม รักษาความชื้นของดินด้วยการใช้ฟางคลุมบริเวณหลุมปลูก หากเป็นฟักทองประเภทเถาเลื้อยให้ใช้ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1.5 เมตร ส่วนประเภทลำต้นทรงพุ่ม ใช้ระยะห่างประมาณ 0.75-1.5 เมตร อาจปลูกร่องละแถวหรือสองแถวก็ได้ เมื่อต้นฟักทองมีใบจริงงอกออกมาประมาณ 2-3 ใบแล้ว ควรถอนต้นที่อ่อนแอทิ้งให้เหลือไว้เพียงหลุมละ 1 ต้นเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย
ให้ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน พวกปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมไนเตรต ในระยะแรกของการเจริญเติบโต หรือหลังจากที่งอกมาได้ประมาณ 10-14 วัน ในอัตราไร่ละ 10-15 กก. โดยผสมกับปุ๋ยเคมีสูตร 14-14-21 ในอัตราไร่ละ 100-150 กก. แบ่งใส่ 2 ครั้ง ด้วยการโรยข้างแถวแล้วพรวนดิน รดน้ำให้ชุ่ม ในครึ่งแรกใส่เพื่อรองพื้น ส่วนที่เหลือให้ใส่เมื่อต้นฟักทองมีอายุได้ประมาณ 21-25 วัน
การให้น้ำ
ควรให้น้ำแก่ต้นฟักทองในปริมาณที่พอเหมาะกับความต้องการ เนื่องจากเป็นพืชที่ไม่ชอบดินที่มีน้ำท่วมขังและชื้นแฉะ ระวังอย่าให้ขาดน้ำในช่วงที่มีการติดดอกติดผล ไม่ควรใช้ระบบพ่นน้ำฝอยเพื่อให้น้ำ หรือรดลงบนใบ เนื่องจากจะทำให้เกิดโรคใบเน่าได้ง่าย ดังนั้น วิธีการปล่อยน้ำร่อง จึงเป็นระบบการให้น้ำที่ดีที่สุด
ในขณะที่ต้นยังเล็กอยู่ควรมีการพรวนดินและกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ แต่วัชพืชจะไม่ขึ้นและไม่จำเป็นต้องพรวนดินอีกเมื่อต้นฟักทองเริ่มเลื้อยคลุมดินแล้ว
วิธีการทำ
1. นำมะละกอสุก กล้วยสุก สับปะรดสุก ฟักทองสุก มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก โดยหั่นทั้งเปลือกและเมล็ด โดยไม่ต้องล้างน้ำหรือยางออก
2. จากนั้นนำไปใส่ในถังหมัก แล้วนำกากน้ำตาลเทตามลงไป
3. นำพด.2 จำนวน 3 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเล็กน้อย เทในถังหมักคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน
4. เติมน้ำพอท่วมส่วนผสม
5. ปิดฝาถังหมักให้สนิท แล้วนำไปวางในที่ร่ม หมักทิ้งไว้ 21 วัน หลังจากก็สามารถนำไปใช้ได้แล้ว
การนำไปใช้
1. นำน้ำหมักที่ได้จำนวน 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่า จำนวน 20 ลิตร นำไปฉีดพ่นพืช ผัก เพื่อเร่งการเจริญเติบโต โดยให้ฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น ขณะไม่มีแสงแดดจัด ฉีดพ่น 15 วัน/ครั้ง
2. นำน้ำหมักที่ได้จำนวน 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่า จำนวน 20 ลิตร นำไปฉีดพ่นสำหรับเปิดตาดอกของผลไม้ได้ทุกชนิด โดยให้ฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น ขณะไม่มีแสงแดดจัด
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ลดต้นทุนการผลิต และบำรุงดินเพิ่มไนโตเจนให้กับดิน
2. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สภาพดินอุดมสมบูรณ์ ไร้สารพิษ
3. ทำให้พืชผักเจริญเติบโตดี และช่วยเปิดตาดอกของผลไม้
วิธีจัดการด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน
1. กาแฟ 5 ช้อนโต๊ะ
2. ยาฉุน 3 ขีด
3. มะพร้าวขูด 1 ลูก หรือครึ่ง กิโลกรัม
4. น้ำเปล่า 2 ลิตร
วิธีทำ
นำยาฉุน (ยาเส้น) มาผสมกับมะพร้าวขูด ในภาชนะที่เตรียมไว้ นำน้ำร้อนมาเทราดลงส่วนผสมทั้งสอง ทิ้งไว้ให้อุ่นจากนั้นคั้นเอาเเต่น้ำกรองเอาน้ำข้นๆออกมา.. จากนั้นละลายกาแฟกับน้ำร้อนเทใส่น้ำยาที่เรากรองไว้ พักไว้ 3 ชั่วโมงหรือ หมักไว้ 6 ชั่วโมงก็ได้
- การนำไปใช้ น้ำหมัก 4 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้น
- ส่วนผสม ถ้าเป็นพืชผักใบอ่อนอาจจะเจือจางผสมน้ำ 30 ลิตรเพราะอาจทำให้พืชใบไหม้ได้
วิธีทำให้ฟักทองติดผล
การเตรียมวัตถุดิบ
1. นมผงเด็ก
2. น้ำสะอาด
วิธีการทำ
- เมื่อปลูกฟักทองได้ประมาณ 1 เดือน ให้สังเกตต้นฟักทองจะเริ่มออกดอก
- หลังจากนั้นนำนมผงเด็กที่เตรียมไว้มาผสมกับน้ำ ในอัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำสะอาด 20 ลิตร
- คนให้นมผงละลายและเข้ากันดี
- นำไปฉีดพ่นดอกฟักทองในช่วงเช้า เพื่อช่วยล่อแมลงมาช่วยผสมเกสรทำให้ดอกฟักทองติดเป็นผลได้ทุกเถา
โรค - แมลงศัตรูที่สำคัญ
1. โรคเถาเหี่ยว (เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย)
ลักษณะคือใบในเถาจะเหี่ยวลงทีละใบ เมื่อเหี่ยวจากปลายเถามาโคนเถาแล้ว จะเหี่ยวพร้อมกันหมดทั้งต้น ถ้าเอามีดเฉือนเถาที่เหี่ยวดูตามความยาวจะเห็นว่า กลางลำต้นในเถาฉ่ำน้ำมากกว่าปกติ เชื้อแบคทีเรียนี้จะอาศัยอยู่ในตัวแมลงเต่าแตง เมื่อแมลงเต่ามากัดกินใบ จะนำเชื้อนี้เข้าสู่ต้นฟักทองและเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีเซพวิน 85 อัตรา 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (ห้ามใช้เกินจะทำให้ใบใหม้) ฉีดพ่นแมลงเต่าที่เป็นพาหะนำโรคเถาเหี่ยว โดยฉีดพ่นเมื่อต้นกล้าแข็งแรง พ่นทุก 5-7 วัน จนฟักทองเริ่มทอดยอด
2. เพลี้ยไฟ
เป็นแมลงขนาดเล็กมาก ตัวอ่อนจะมีสีแสด ตัวแก่จะเป็นสีดำตัวขนาดเท่าปลายเข็มจะดูดน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อนและใต้ใบอ่อน ทำให้ยอดหดสั้นปล้องถี่ ยอดชูตั้งขึ้น หรือเรียกว่า โรคยอดตั้ง (ไอ้โต้ง) ถ้าพึ่งเริ่มเป็นใหม่ๆ แล้วมีฝนตกมาหรือให้น้ำทั่วถึงเพลี้ยไฟจะหายไป
การป้องกันกำจัด
1. ปลูกมะระล้อมไว้สัก 2 ชั้น แล้วจึงปลูกฟักทอง เพราะมะระจะต้านทานเพลี้ยไฟได้ดี หรือปลูกมะระแซมในแปลงที่ปลูกฟักทอง
2. เพลี้ยไฟชอบระบาดในฤดูแล้ง ถ้ามีฝนมาจะหายไป เมื่อเพลี้ยไฟเข้าทำลายใช้แลนเนท หรือไรเนต หรือพอสซ์ ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน ถ้าระบาดมากฉีดพ่น 3-5 วัน โดยงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 15 วัน
การเก็บเกี่ยว
ฟักทองประเภทพันธุ์พุ่ม จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่อมีอายุประมาณ 45-60 วัน ส่วนพันธุ์เลื้อยจะอยู่ที่ประมาณ 120-180 วัน ผลอ่อนจะมีลักษณะเปลือกที่นิ่ม ผิวเปลือกสีเขียว เนื้อภายในนุ่ม ส่วนผลที่แก่จัดจะมีเปลือกที่แข็ง หากต้องการผลผลิตแบบไหนก็สามารถเลือกเก็บเกี่ยวได้ ผลแก่จะสามารถรักษาความสดไว้ได้นานหลายวัน หากเก็บเกี่ยวให้เหลือเถายาวประมาณ 7-10 ซม.
ประโยชน์
ฟักทอง เป็นพืชที่มีกากใยสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด มีกรดโปรไพโอนิค ที่ช่วยต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง ในเมล็ดมีสารคิวเคอร์บิทีน ซึ่งมีสรรพคุณในการขับพยาธิตัวตืด ส่วนของรากเมื่อนำมาต้มน้ำดื่มจะช่วยถอนพิษแมลงกัดต่อยได้
ฟักทอง สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารไว้รับประทานได้แทบทุกส่วน เช่น ทำเป็นขนม หรือแกงต่างๆ หรือจะนำไปแปรรูปเพื่อถนอมอาหารไว้รับประทานได้นานๆ ส่วนของเมล็ดใช้รับประทานเป็นของว่าง น้ำมันที่ได้จากเมล็ดสามารถนำไปปรุงอาหารได้ ยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสด ชาวอินเดียแดงบางเผ่าจะใส่เครื่องประดับที่ทำจากเปลือกฟักทองที่ตากจนแห้งแล้ว ส่วนชาวจีนมีความเชื่อว่า ต้นฟักทองเป็นพืชที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่ง
No comments:
Post a Comment